ฟ้าสางทางความลับ
1.ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ตามประสงค์
โดยกฏอิทัปปัจจยตา ดังนั้น ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่เราเติมธรรมะลงไปได้ตามที่เราต้องการ
โดยการปฏิบัติธรรม. (๑)
2.ถ้ามีการศึกษาที่เห็นแจ้งจากภายใน (เป็นสันทิฏฐืโก) แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นทาสทางสติปัญญาของใคร
แม้แต่ของพระพุทธเจ้า: นี้เป็นหลักของพระพุทธศาสนา (ตามกาลามสูตรข้อสิบ)
(๒)
3.ถ้าใช้หลักกาลามสูตรเป็นเครื่องตัดสินว่า
เป็นสิ่งที่ควรรับถือเป็นหลักปฏิบัติแล้ว
ก็ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นคำสอนของใคร เป็นของเดิมแท้หรือเป็นของใหม่ ฯลฯ
หรือว่ามีประวัติมาอย่างไร (๓)
ก็ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นคำสอนของใคร เป็นของเดิมแท้หรือเป็นของใหม่ ฯลฯ
หรือว่ามีประวัติมาอย่างไร (๓)
4.การมีธรรมะแท้จริง ก็คือสามารถดำรงตนอยู่เหนือปัญหาหรือความทุกข์ทั้งปวง;
ไม่เกี่ยวกับปริญญาบัตร ฯลฯ พิธีรีตอง หรือ หลักปรัชญาชนิดฟิโลโซฟี่ใดๆ (๔)
ไม่เกี่ยวกับปริญญาบัตร ฯลฯ พิธีรีตอง หรือ หลักปรัชญาชนิดฟิโลโซฟี่ใดๆ (๔)
5.เรามีวิธีทำให้ชีวิตเป็นของเย็น ทุกอิริยาบถตามที่เราประสงค์จะมี
ไม่ว่าในรูปแบบใดๆ :
เพื่อตนเอง - เพื่อสังคม - ตามธรรมชาติล้วนๆ (๕)
เพื่อตนเอง - เพื่อสังคม - ตามธรรมชาติล้วนๆ (๕)
6.การศึกษา - ศาสนา - วัฒนธรรม - ประเพณี - การเมือง - การปกครอง
- การเศรษฐกิจ - ศิลปะ ฯลฯ - วิทยาการใดๆ จะถือว่าถูกต้องได้
เฉพาะเมื่อพิสูจน์การดับทุกข์ได้ในตัวมันเอง
(๖)
7.การเรียน - การรู้ - การมีความรู้ - การปฏิบัติ - การใช้ความรู้ให้สำเร็จประโยชน์ เหล่านี้
มิใช่สิ่งเดียวกัน; ระวังการมี การใช้ ให้ถูกต้อง
(๗)
8.ชีวิตเย็นเป็นนิพพาน ในปัจจุบัน คือไม่มีกิเลส
เกิดขึ้นแผดเผาให้เร่าร้อน ทุกเวลานาที ทุกอิริยาบถ,
ในความรู้สึกอย่างสันทิฏฐิโก (คือรู้สึกอยู่ภายในใจ)
(๘)
9.มีชีวิตเย็นเป็นนิพพาน (นิพฺพุโต) ในปัจจุบันได้โดยที่ทุกอย่างถูกต้องแล้ว
พร้อมแล้ว ไม่ว่าสำหรับจะตายหรือจะอยู่; เพราะไม่มีอะไรยึดถือไว้ว่า
กู-ของกู (๙)
10.กิจกรรมทางเพศเป็นของร้อน และเป็นเรื่อง "บ้าวูบเดียว"; แต่คนและสัตว์ (แม้ต้นไม้?) ก็ตกเป็นทาสของมันยิ่งกว่าสิ่งใด
(๑๐)
11.อวัยวะสืบพันธุ์ มีไว้สำหรับผู้ต้องการสืบพันธุ์
หรือผู้ต้องการรสอร่อยจากกามคุณ (กามอสฺสาท) อันเป็นค่าจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์ ด้วยความยากลำบากและน่าเกลียด;
แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้จะอยู่อย่างสงบ (๑๑)
12.เรื่องเพศหรือเกี่ยวกับเพศ ธรรมชาติสร้างมาสำหรับมนุษย์ - สัตว์ - พฤกษชาติ ไม่สูญพันธุ์ ; ไม่ใช่ของขวัญที่ใครจะเรียกร้อง ไม่ใช่ของควรบูชาในฐานะสิ่งสูงสุด ว่าเป็นกามเทพ
เป็นต้น (๑๒)
13.กามารมณ์เป็นค่าจ้างทางเพศ เพื่อการสืบพันธ์
อันสกปรกเหน็ดเหนื่อยและน่าเกลียดจากธรรมชาติ, มิใช่ของขวัญ หรือ หรรษทานจากเทพเจ้าแต่ประการใด เลิกบูชากันเสียเถิด
(๑๓)
14.กามกิจก็เป็นหน้าที่ที่เป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน; แต่ต้องประพฤติกันอย่างถูกต้องและพอดี สำหรับอริยชนที่ครองเรือน
(๑๔)
15.การสมรสด้วยจิตหรือทางวิญญาณ (เช่น ทิฏฐิตรงกัน) นั้นเป็น
"พรหมสมรส" ยังบริสุทธิ์ สะอาดดี ไม่ก่อให้เกิดทุกข์หรือปัญหาใดๆ
; ส่วนการสมรสทางกาย หรือเนื้อหนัง นั้นสกปรก น่าเกลียด เหน็ดเหนื่อยเกินไป
จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นการสมรส (๑๕)
16.กามที่เกี่ยวกับเพศ เป็นได้ทั้งเทพเจ้าและปีศาจ
ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ประกอบกิจนั้น มีธรรมะผิดถูกมากน้อยเพียงไร (๑๖)
17.พวกที่ถือพระเจ้า ถือว่าอะไรๆ ก็แล้วแต่พระเจ้าบันดาล
ส่วนชาวพุทธถือว่าแล้วแต่การกระทำผิดหรือถูก ต่อกฏอิทัปปัจจยตา; ดังนั้นควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า
"พระเจ้า" กันเสียใหม่ให้ถูกต้อง คือมีทั้งที่มีความรู้สึกอย่างบุคคล
และไม่มีความรู้สึกอย่างบุคคล
อย่างไหนจะเป็นที่พึ่งได้และยุติธรรม ไม่รับสินบน (๑๗)
อย่างไหนจะเป็นที่พึ่งได้และยุติธรรม ไม่รับสินบน (๑๗)
18.พระเจ้าคือสิ่งสูงสุดนั้น ไม่ดี-ไม่ชั่ว
แต่อยู่เหนือดีเหนือชั่ว จึงสามารถให้เกิดความหมาย ว่าดี ว่าชั่ว ให้แก่ความรู้สึกของมนุษย์ได้ทุกอย่าง
จนงงไปเอง (๑๘)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น