วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตามรอยพระอรหันต์ ( พ.ศ. 2475 – 2484 )




เมื่อพระมหาเงื่อมตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะกลับบ้าน แล้ว  ในวันที่  6 เมษายน  พุทธศักราช  2475   พระมหาเงื่อมก็เดินทางกลับถึงบ้านที่พุมเรียง  และเข้าพักชั่วคราวในโบสถ์วัดใหม่พุมเรียง  การกลับมาครั้งนี้มีเพียงโยมน้องชายและเพื่อนในคณะธรรมะทาน  4 – 5  คน  ที่ร่วมรับรู้ถึงปณิธานอันมุ่งมั่นของพระมหาเงื่อม  ทุกคนเต็มอกเต็มใจที่จะหนุนช่วยด้วยความศรัทธา  โดยพากันออกเสาะหาสถานที่  สำรวจกันอยู่ประมาณเดือนเศษก็พบวัดร้างเนื้อที่ประมาณ  60  ไร่  ชื่อ  ตระพังจิก ซึ่งรกร้างมานาน บริเวณเป็นป่ารกครึ้มมีสระน้ำขนาดใหญ่  เมื่อเป็นที่พอใจแล้วคณะอุบาสกดังกล่าวก็จัดทำเพิงที่พัก  อยู่หลังพระพุทธรูปเก่าซึ่งเป็นพระประธานในวัดร้างนั้น  แล้วพระมหาเงื่อมก็เข้าไปอยู่ในวัดร้างพระพิงจิก  เมื่อวันที่  12 พฤษภาคม  พุทธศักราช  2475   อันตรงกับวันวิสาขบูชาดดยมีอัฐบริขาร  ตะเกียง  และหนังสืออีกเพียง  2 – 3  เล่ม ติดตัวไปเท่านั้น  เข้าไปอยู่ไดไม่กี่วัน วัดร้างนามพระพิงจิกนี้  ก็ได้รับการตั้งนามขึ้นมาใหม่โดยพระมหาเงื่อม  ซึ่งเห็นว่าบริเวณใกล้ที่พักนั้นมีต้นโมกและต้นพลาขึ้นอยู่โดยทั่วไป จึงคิดนำคำทั้งสองมาต่อเติมขึ้นมาใหม่ให้มีความหมายในทางธรรม จึงเกิด  คำว่า “  สวนโมกขพลาราม อันหมายถึง สวนป่าอันเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์  โดยเริ่มการขบคิดเรื่องต่างๆ  และลงมือค้นคว้าพระไตรปิฎกต่ออีกด้วยตนเอง  เมื่อถึงเดือน สิงหาคม  พุทธศักราช  2475  ก็เริ่มถ่ายทอดอุดคติอันตนศรัทธาเชื่อมันออกเป็นงานเขียนเรื่อง   ตามรอยพระอรหันต์  หัวใจของพระมหาเงื่อมในเวลานั้น  เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่จะมอบกายถวายชีวิตให้กับ



งานของพระศาสดา  จึงตั้งนามตนเองขึ้นใหม่ว่า  “  พุทธทาส  ตามบทสวดตอนหนึ่งในภาษาบาลีนาม  พุทธทาส  จึงเป็นที่รู้จักมาจนถึงบัดนี้




                                        
                                                                                ที่มา http://www.buddhadasa.com/history/budmem2.html


































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น